วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา


  
   ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา 

     ศูนย์ศึกษาแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างนักวิชาการไทยและญี่ปุ่นในการ จัดตั้งศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา (Ayutthaya Historical study Centre) ขึ้นในปี พ.ศ. 2529 โดยมองว่าอยุธยานอกจากจะเป็นอดีตเมืองหลวงของสยามที่มีอายุยืนยาวถึง 417 ปี และได้วางรากฐานทางวัฒนธรรมให้กับประเทศไทยสมัยใหม่แล้วยังเคยเป็นศูนย์กลาง ของสังคมการค้าในอุษาคเนย์ในระยะเวลาหนึ่งด้วย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราไม่อาจรู้จักและไม่อาจเข้าใจประเทศไทยและภูมิภาคอุษาคเนย์ได้อย่างชัดเจน หากละเลยที่จะเข้าใจสังคมอยุธยาในประวัติศาสตร์
     ความตั้งใจของนักวิชาการไทย-ญี่ปุ่นดังกล่าว ได้ปรับขยายจากข้อเสนอของสมาคมไทย-ญี่ปุ่น และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ให้มีการปรับปรุงบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านญี่ปุ่นเพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ หมู่บ้านญี่ปุ่นมาเป็นการจัดตั้งศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาแทน และมีความตกลงร่วมกันระดับรัฐบาล โดยรัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า 999 ล้านเยน (ประมาณ 170 ล้านบาทในเวลานั้น) เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 60 พรรษา ในปี พ.ศ. 2530 และเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น ครบรอบ 600 ปี

อาคารของศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

      ส่วนแรกเป็นส่วนหลักตั้งอยู่ในเกาะเมืองอยุธยาติดกับสถาบันราชภัฏอยุธยา  ส่วนที่สองเป็นส่วนผนวกตั้งอยู่บริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นในสมัย อยุธยา ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ใต้วัดพนัญเชิง



    ภายในศูนย์ฯ มีการจัดแสดงนิทรรศการถาวร โดยนำจุดเด่นของกรุงศรีอยุธยาในด้านต่างๆ มานำเสนอด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและน่าสนใจ เช่น ใช้แผนผัง แผนภาพ แผนที่ และแบบจำลอง รวมทั้งใช้เสียงและภาพเคลื่อนไหว ง่ายในการทำความเข้าใจพัฒนาการของกรุงศรีอยุธยาในด้านต่างๆ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถเห็นภาพรวมของกรุงศรีอยุธยาในสมัยเป็นราชธานีได้ในเวลาอันสั้น




  การจัดแสดงภายในศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยามีทั้งสิ้น 4 หัวข้อ คือ อยุธยาในฐานะเมืองราชธานี, ในฐานะเมืองท่า, ในฐานะศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและการปกครอง และชีวิตชุมชนชาวบ้านไทยในสมัยอดีต อีกทั้งคำอธิบายยังมีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น ส่วนอีกหัวข้อหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับต่างประเทศนั้น ได้ จัดแสดงที่บริเวณหมู่บ้านญี่ปุ่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกในตำบลเกาะเรียน




  อีกทั้งเข้าใจชีวิตของชาวอยุธยาในอดีตได้ง่าย จึงเหมาะที่จะเป็นจุดตั้งต้นในการท่องเที่ยวเรียนรู้อดีตราชธานีกรุง ศรีอยุธยา เพราะจะทำให้การเที่ยวชมในสถานที่จริงสนุกและได้อรรถรสยิ่งขึ้น ที่น่าสนใจคือจะได้เห็นแบบจำลองของพระบรมมหาราชวัง อันประกอบด้วยอาคารต่างๆ แสดงให้เห็นสภาพบูรณ์ของพระราชวังก่อนจะถูกทำลาย แผนที่แสดงเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างอยุธยากับบรรดาประเทศต่างๆ แบบจำลองภายในวิหารพระศรีสรรเพชญ์ เรือสำเภาจำลอง รวมไปถึงการจำลองสภาพหมู่บ้านชุมชนริมน้ำและวิถีชีวิตผู้คนให้ชมอีกด้วย






   พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในจังหวัดอยุธยา และจัดแสดงศิลปวัตถุสมัยอยุธยาที่สำคัญ ๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 จากเงินที่ประชาชนขอเช่าพระพิมพ์จากกรมศิลปากรที่ขุดได้จากกรุวัดราชบูรณะ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,416,928 บาท เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2504 และโดยเหตุที่วัดราชบูรณะสร้างขึ้นในสมัยเจ้าสามพระยา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงใช้พระนามของพระองค์เป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ด้วย

ตัวพิพิธภัณฑ์ ประกอบด้วย อาคารหลัก 3 อาคาร


1. หมู่อาคารเรือนไทย
        สร้างคร่อมอยู่บนสระ จัดแสดงเพื่อรักษารูปแบบเรือนไทยแบบภาคกลาง และจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในเรือนอาศัยของคนไทยภาคกลางในอดีต
 2. อาคารศิลปะในประเทศไทย
        เป็นอาคาร 2 ชั้น จัดแสดงศิลปวัตถุสมัยต่าง ๆ ที่รวบรวมได้จากจังหวัดอยุธยา เช่น สมัยทวารวดี (พระพุทธรูปหินประทับยืนบนหัวของพนัสบดี พระพุทธรูปสำริดประทับยืนปางประทานพร) สมัยศรีวิชัย (เศียรพระสำริด) สมัยลพบุรี (พระพุทธรูปสำริดปางประทานพร ปางนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร) สมัยสุโขทัย (เครื่องกระเบื้องเคลือบต่าง ๆ โดยเฉพาะตุ๊กตา) สมัยเชียงแสน สมัยอยุธยา (ฐานพระพุทะรูปทำ
จากดินเผา มีรูปพระแม่ธรณี และเศียรพระพุทธสาวกที่ทำจากดินเผา) สมัยรัตนโกสินทร์ (แผ่นหินอ่อนจำหลักเรื่อง รามเกียรติ์ จากวัดโพธิ์)

3. อาคารตึกเจ้าสามพระยา
เป็นอาคารหลักที่สำคัญที่สุด เพราะเก็บศิลปวัตถุอยุธยาชิ้นที่ถือว่าสำคัญ ๆ มากมายหลายขิ้น









Image
    Image             Image  
            
   



เพนียดคล้องช้าง   ชมที่คล้องช้างป่า
        นอกจากจะได้เห็นเพนียดคล้องช้าง หรือที่คัดเลือกช้างลักษณะดีไว้ใช้ในยามสงครามในสมัยโบราณแล้ว ปัจจุบันบริเวณเพนียดคล้องช้างยังเป็นปางช้าง หรือที่พักช้างจำนวนหลายสิบเชือก ที่มาจากจังหวัดต่างๆเช่น สุรินทร์ ชัยภูมิ เมื่อเสร็จจากการบริการนักท่องเที่ยวที่บริเวณวัดมงคลบพิตรในเกาะเมืองอยุธยาแล้ว ครวญช้างก็จะนำช้างมาพักอยู่บริเวณเพนียด


        ประวัติ  นับตั้งแต่สถาปนากรุงศรีอยุธยาจนถึง รัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เพนียดคล้องช้าเคยตั้งอยู่บริเวณวัดซอง หรือที่ว่าการอำเภอกรุงเก่าในปัจจุบันปี พ.ศ.2123 พระมหาธรรมราชาทรงขยายกำแพงเมืองกินพื้นที่มาถึงบริเวณเพนียด จึงให้ย้ายเพนียดไปตั้งนอกกำแพงเมืองเพนียดคล้องช้างได้ทรุดโทรมไปเมื่อครั้งเสียกรุง ต่อมารัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะขึ้นใหม่ และมีการซ่อมแซมอีกในรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5
          การคล้องช้างเป็นที่น่าสนใจของชาวตะวันตกมาก ดังปรากฏในจดหมายเหตุของ เซอวาเลีย  เดอโซมองต์ ซึ่งเป็นราชทูตฝรั่งเศส ที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ว่าได้มีโอกาสชมการคล้องช้างที่เพนียดเป็นที่ประทับใจยิ่งนัก




       สิ่งที่น่าสนใจ     เพนียดก่อเป็นกำแพงอิฐล้อมเป็นคอกสี่เหลี่ยม มีประตูสำหรับต้อนโขลงช้างป่า ให้เดินเข้าซองไป   ซึ่งชั้นนี้จะเป็นช้างที่ยังไม่ได้คัดเลือก  ถ้าเชือกไหนลักษณะดีต้องตามตำราคชศาสตร์ ก็จะต้อนแยกเข้าคอกชั้นใน  ซึ่งทำด้วยซุงท่อนใหญ่นับร้อยท่อน  ตรงกลางคอกเพนียดเป็นมณฑป   ที่ประกอบพิธีพราหมณ์ขณะคล้องช้าง    ส่วนพระมหากษัตริย์จะประทับที่พระที่นั่งเพนียดซึ่งอยู่บนกำแพงคอนกรีต
 




 

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เที่ยวชม พระราชวังบางปะอิน

สวัสดีครับ...
    ก่อนอื่นต้องขอทักทายผู้ที่เข้าชมบล็อกทุกท่าน และขอขอบคุณที่เปิดเข้ามาชม ดูแล้วมีอะไรที่จะติติงหรือแนะนำก็เขียนมาบอกกันบ้างนะครับ
    ท่านผู้ชมเคยไปเที่ยวที่พระราชวังบางปะอิน อยุธยา กันบ้างไหม ถ้าท่านที่ไม่เคยไปต้องขอบอกเลยนะครับว่าน่าจะลองหาโอกาสไปเที่ยวชมดู เพราะเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากๆ ตัวผมเองเคยไปเที่ยวชมมาแล้วสองครั้ง สถานที่สวยงามร่มรื่น ไปเห็นแล้วเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยจริงๆ ที่ได้เห็นพระราชวังโบราณอันเป็นที่ประทับของพระมหากบัตริย์ในครั้งอดีต
    ถ้าท่านที่เคยไปเที่ยวชมแล้ว อาจจะยังไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของพระราชวังแห่งนี้ หรืออาจจะพอทราบมาบ้างแล้ว เพื่อเป็นการไปเที่ยวชมที่เหมือนกับได้ย้อนกลับไปสู่อดีตของพระราชวังแห่งนี้ จึงได้นำประวัติความเป็นมาของพระราชวังบางปะอิน และสถานที่ต่างๆ พร้อมภาพสวยๆ มาฝาก ลองติดตามดูก่อนเดินทางไปเที่ยวนะครับ





   พระราชวังบางปะอิน  ชมสถาปัตยกรรมไทย ยุโรป จีน
พระราชวังบางปะอินประกอบด้วยพระที่นั่งต่างๆ  ซึ่งมีสถาปัตยกรรมหลากหลาย ทั้งไทย ยุโรป และจีน สามารถเข้าไปชมภายในได้บางส่วน สำหรับชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นท้องพระโรง มีบัลลังก์ที่ประทับ 


   ประวัติ
     พระราชวังบางปะอิน มีประวัติความเป็นมาตามพระราชพงศาวดารครั้งกรุงศรีอยุธยาว่า พระเจ้าปราสาททอง หรือพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นบนเกาะบ้านเลน ในลำแม่น้ำเจ้าพระยา
     ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่า พระเจ้าปราสาททอง เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ประสูติแต่หญิงสาวชาวบ้าน ซึ่งพระองค์ทรงพบเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งแล้วเกิดล่มลงตรงเกาะบางปะอิน เมื่อพระเจ้าปราสาททองขึ้นครองราชในปี พ.ศ.2173 แล้วต่อมาในปี พ.ศ.2175 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งบนเกาะบางปะอิน ตรงบริเวณเคหสถานเดิมของพระมารดา พระราชทานชื่อว่า "วัดชุมพลนิกายาราม" และให้ขุดสระน้ำสร้างพระราชนิเวศน์สถานขึ้นกลางเกาะ เป็นที่สำหรบเสด็จประพาส แล้วสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งขึ้นริมสระน้ำนั้น พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" พระราชวังแห่งนี้คงเป็นที่ประพาสสำราญพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดมา และคงรกร้างทรุดโทรมไปแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2310 เป็นต้นมา
    พระราชวังบางปะอินได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งสำหรับเป็นที่ประทับ มีเรือนแถวสำหรับฝ่ายใน และมีพลับพลาริมน้ำ เป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์โปรดที่จะเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินอยู่เสมอ ด้วยทรงปรารภว่า เป็นเกาะกลางน้ำที่เงียบสงบ ร่มรื่น และเคยเป็นที่ประทับประพาสของสมเด็จพระบรมราชนกนาถมาก่อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่ง และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้น ดังที่ปรากฎเห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับ ที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงรับรองในโอกาสต่างๆ เป็นครั้งคราว




    พระที่นั่งวโรภาษพิมาน
 เป็นพระที่นั่งทรงตึกชั้นเดียว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2419 ตรงบริเวณที่ประทับเดิมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้เป็นที่ประทับและมีท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการ ถายในห้องโถงรับรอง และห้องทรงพระสำราญ ประดับภาพเขียนสีน้ำมัน ภาพพระราชพงศาวดารประกอบโครงบรรยายภาพอันงดงามทรงคุณค่า เป็นภาพเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย และฉากต่างๆ จากวรรณคดีไทยหลายเรื่อง




 หอวิฑูรทัศนา พระที่นั่งเวหาศจำรูญ
   หอวิฑูรทัศนา เป็นหอสูงยอดมน ตั้งอยู่กลางเกาะในพระราชอุทยาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2424 เพื่อใช้เป็นหอส่องกล้องชมภูมิประเทศและดูดาว
   พระที่นั่งเวหาศจำรูญ เป็นพระที่นั่งสองชั้นสร้างในแบบศิลปะจีนอย่างงดงาม โดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในไทยสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายในปี พ.ศ.2432 พระที่นั่งองค์นี้ มีนามตามภาษาจีนด้วยว่า "เทียนเหมงเต้ย" (เทียน - เวหา เหมง - จำรูญ เต้ย - พระที่นั่ง ) 
    ภายในห้องกลางชั้นบนของพระที่นั่ง เป็นที่ประดิษฐานพระที่นั่งเก๋ง 3 องค์ ติดต่อกัน ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายต่างๆ ลงรักปิดทอง
     อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ 
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ด้วยทรงสูญเสียพระอัครฉายาเธอฯ และพระราชโอรส พระราชธิดา 3 พระองค์ ในปีเดียวกัน เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึก สร้างด้วยหินอ่อน แกะสลักพระรูปเหมือนไว้ใกล้กับอนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี